Last updated: 12 ต.ค. 2565 | 10484 จำนวนผู้เข้าชม |
ปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้ว่าชาและกาแฟได้เข้ามาป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของพวกเราไปแล้ว จากกระแสนิยมและช่องทางจำหน่ายที่มีมากมายจัดหามาดื่มได้ง่าย มีหลายราคาหลายเกรดจนเข้าถึงได้ทั่วไป และด้วยประโยชน์ของคาเฟอีนที่ช่วยให้สดชื่นตื่นตัว กระปรี้กระเปร่ามีแรงทำงาน/เรียนหนังสือ จนเมื่อไหร่ไม่ได้ดื่มแล้วเผลอเป็นหลับตลอด
วันนี้ ลัคกี้เฟลม เราเปรียบเทียบชาและกาแฟให้เข้าใจง่ายๆ แล้วครับ โดยทั้งสองอย่างจะมีส่วนผสมของคาเฟอีน ที่เป็นสารที่ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวทั้งคู่ แต่ว่ากาแฟจะมีปริมาณคาเฟอีนที่สูงกว่าชามาก พร้อมกับรสชาติจะเข้มข้นกว่าชามากเช่นเดียวกัน โดยในแง่ของอารมณ์หลังดื่ม ชาจะช่วยให้สงบ ส่วนกาแฟจะช่วยให้ตื่นตัว อย่างไรก็ตาม ทั้งชาและกาแฟ ก็ไม่ควรดื่มมากจนเกินไป นอกจากปริมาณแคลอรี่จากน้ำตาลหรือส่วนผสมอื่นๆ ที่ทำให้อ้วนแล้ว สารอื่นๆ โดยเฉพาะคาเฟอีนควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม คือไม่ควรเกินวันละ 4 แก้ว การบริโภคที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสีย นอนไม่หลับ หรือ กระทบต่อสุขโดยรวมได้
ชาถูกค้นพบครั้งแรกที่ประเทศจีน ช่วง 2737 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยจักรพรรดิเหยียนตี้ฮ่องเต้ โดยที่วันหนึ่งขณะที่พักผ่อน ต้มน้ำเพื่อดื่มในป่า ได้มีใบชาร่วงหล่นลงมาในน้ำ เมื่อดื่มน้ำที่มีใบชาแล้วเกิดรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้น จนกลายเป็นวัฒนธรรมการดื่มชาที่แพร่หลาย โดยเฉพาะในชาติเอเชียตะวันออก และในบ้านเราในปัจจุบันนี่เอง
การชงชา เป็นวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นอย่างยาวนาน และมีความหลากหลายและพิถีพิถันละเอียดอ่อนเป็นอย่างมาก ดังที่เราจะพบเห็นกันเวลาไปเที่ยวว่าที่เมืองจีน หรือประเทศญี่ปุ่นจะมีคอร์สชงชาจริงจัง นอกจากต้มใบชาอย่างเดียวแล้ว ในปัจจุบันได้มีการประยุกต์ mix&match มาจนถึงชามะนาว ชานมไข่มุกที่เราบริโภคกันทั่วไป วันนี้ เราเอาเคล็ดลับชงชาแบบดั้งเดิมเข้าใจง่ายๆ ที่ประยุกต์ใช้ได้กับชาที่นิยมในประเทศไทยได้ดีมาฝากครับ แต่ว่ามันมีปัจจัยอะไรบ้างนะ มาดูกัน
กาแฟ ถูกค้นพบทีหลัง ในช่วงศตวรรษที่ 9 ตามคริสตศักราช โดยเด็กเลี้ยงแพะที่ชื่อคาลดี Kaldi ที่พบแพะที่คึกคะนองผิดปกติหลังจากไปกินผลสีเหลืองแดงจากไม้พุ่มสีเขียวเข้มในละแวกนั้น จึงเก็บผลนั้นกลับมาเล่าให้พระฟัง แต่มีเรื่องราวที่แตกต่างออกไปหลายแบบ บ้างก็ว่าพระเห็นว่าเป็นสิ่งอัปมงคลจึงโยนเข้าไปในกองไฟ เกิดเป็นกลิ่นที่หอมหวนชวนทานเป็นที่มาของกาแฟคั่ว บ้างก็ว่าพระนำไปกระเทาะเปลือกต้มรับประทานแล้วสดชื่น บำเพ็ญเพียรได้ตลอดทั้งคืน จนแพร่หลายและกลายเป็นที่นิยมมาจนถึงปัจจุบันนี่เอง
กาแฟจะแตกต่างจากชาตรงที่ใช้เมล็ดชง ไม่ใช่ใบ โดยจะชงเฉพาะเมล็ดกาแฟเดี่ยวๆ หรือปรุงรสด้วยนมและน้ำตาล กาแฟในท้องตลาดจะมีด้วยกัน 2 แบบ คือกาแฟคั่วบดที่ยังเป็นเมล็ดที่ผ่านการคั่วมาเพื่อกลิ่นและรสที่หอมเข้มข้น และ กาแฟสำเร็จรูปในรูปแบบผงพร้อมชงรับประทานง่าย ส่วนเครื่องดื่มกาแฟที่ขายกันอยู่นั้นจะมีหลากหลายตามรูปแบบการปรุงรส/กลิ่น/ความมัน ดังที่เราจะเห็นเรียกชื่อต่างๆ กันไป เป็น เอสเพรสโซ่ อเมริกาโน ลาเต้ คาปูชิโน่ และอื่นๆ
การชงกาแฟนั้น จะไม่ใช่แค่พิถีพิถันในการเลือกใช้อุณหภูมิน้ำ เวลาและใบชาแบบชงชา แต่จะเป็นการชงที่ใช้เทคนิค กระบวนการ และการควบคุมส่วนผสมที่ปรับแต่งได้ตามความชอบแต่ละบุคคล โดยที่ส่วนของเทคนิคและกระบวนการ จะสังเกตได้ง่ายๆ ตามหน้าตาของเครื่องมืออุปกรณ์ที่ใช้ชงตามภาพด้านล่าง
ส่วนอุณหภูมิในการชงกาแฟด้วยน้ำร้อนแบบบ้านๆ ทั่วไปที่เราชงกัน Hot Brew เรานิยมใช้น้ำอุณหภูมิ 94-96C ที่สามารถสกัดรสชาติและกลิ่นหอมออกมาได้มากที่สุด แต่บางท่านก็อาจจะชอบกาแฟที่ชงน้ำที่ไม่ร้อน Cold Brew ที่มีจุดเด่นที่ดึงรสเปรี้ยวและขมออกมาน้อยกว่าแบบชงน้ำร้อนมาก
จะเห็นว่า ทั้งชาและกาแฟ มีความแตกต่างกันในหลายๆ ส่วน แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือถ้าชงร้อน การควบคุมอุณหภูมิน้ำที่ชงจะช่วยให้รสและกลิ่นที่ดีกว่า Lucky Flame เรามีถังต้มน้ำที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ 2 รุ่น 2 ขนาด 8.5 ลิตร และ 20 ลิตร ให้เลือกใช้งานเหมือนกันนะครับ
16 ธ.ค. 2565